เมื่อวานมีโอกาสได้ตั๋วหนังรอบสื่อฯของภาพยนตร์ทุนหนาของฝรั่งเศส La Belle et la Bête หรือ โฉมงามกับเจ้าชายอสูร แบบที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งจริงๆ ฉายไปตั้งแต่ต้นปี 2014 แต่ดันเพิ่งมีคนนำเข้ามาฉายแบบจำกัดโรงในเมืองไทยแค่ตั้งแต่ 9 – 14 มกราคม 2558 นี้ที่โรงภาพยนตร์ในเครือ Apex เท่านั้น
ออกตัวก่อนว่าไม่เคยอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้เต็มๆ แต่เคยได้ยินได้ฟังสไตล์ Disney มาบ้าง พล็อตเรื่องยังเป็นแบบที่เรารับรู้กันตั้งแต่เด็ก แต่อาจจะมีรายละเอียดมากขึ้น เนื้อเรื่องเล่าเกี่ยวกับพ่อค้าคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวสามคน โดยมี “เบลล์” นางเอกของเราเป็นคนสุดท้อง เมื่อคนเป็นพ่อเดินทางไปค้าขายต่างเมือง ลูกสาวทั้งสามมีสิทธิขอของฝากจากบิดาได้ตามปรารถนา แต่เบลล์กลับขอเพียงแค่กุหลาบแดงดอกเดียวเท่านั้น ฝ่ายคุณพ่อเมื่อออกเดินทาง ขากลับก็ดันหลงไปพึ่งพิงปราสาทของเจ้าชายอสูรเข้า และได้รับการช่วยเหลือแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ทว่าขาดแต่กุหลาบแดงดอกเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ซวยไปเด็ดในสวนของเจ้าชายสัตว์ป่ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงต้องนำ “หนึ่งชีวิตมาเพื่อแลกกับดอกกุหลาบหนึ่งดอก” นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เบลล์ต้องมาพบกับเจ้าชายในภายหลัง
ทีนี้มาดูกันว่าทำไมหนังเรื่องนี้ ทำซ้ำมาขนาดนี้ ถึงยังน่าดูอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราลิสต์หัวข้อตามความชอบส่วนตัวของเรา ซึ่งแน่นอน อาจจะไม่ตรงใจใครบ้าง แต่ลองดูก็ไม่เสียหายนะ
**ด้านล่างอาจมีสปอยเล็กน้อย ไม่อยากอ่านให้ข้ามไปประเด็นอื่น
เมื่อสัตว์กลายเป็นคน คนกลายเป็นสัตว์
คอนเซ็ปหนึ่งที่เมื่อก่อนไม่เคยสังเกต หรือไม่ก็เวอร์ชั่นนี้ใส่มาก็ไม่รู้ คือการเล่นสลับมุมมองสองขั้วตลอดเวลา ทั้งประเด็นของเจ้าชายผู้หลงใหลในการล่าสัตว์ ซึ่งเป็นถึงเจ้าชายของแคว้นที่สวยงาม แต่ก็ยังถูกสาปเป็นอสุรกายหน้าตาคล้ายแมว เอ้ย สิงโตได้ และในขณะเดียวกัน กวางน้อยภูติประจำป่า ซึ่งเป็นสัตว์ทางกายภาพแน่ๆล่ะ กลายมาเป็นคนได้ เหมือนหนังต้องการบอกเราว่า ความเป็นสัตว์มีอยู่ในตัวคนเหมือนกัน และถ้ามีมากเกินไป ต่อให้คุณมีฐานันดรสูงส่งแค่ไหน คุณคือสัตว์ในร่างมนุษย์ที่แต่งกายหรูหราเท่านั้นเอง
ช่างเป็นแมวน้อยที่น่าขยำอะไรขนาดนี้ แอบส่องชุดหน่อย งานอลังมั้ยล่ะ?!
แม่หนูเบลล์ผู้เฉียบแหลมช่างเจรจา
ยอมรับว่าที่ชอบคือวาทะเชือดๆ ของแม่หนูลา เบลล์นี่แหละ อาจเป็นคาแรกเตอร์ตามสไตล์นิยมของฝรั่งเศสหรือ? ที่นิยมสาวน้อยที่กล้าพูด กล้าคุย และก๋ากั๋นพอตัว มีความกล้าหาญและท้าทายได้อย่างน่าเชื่อจริงๆ ไม่ใช่เคลือบลูกกวาดแบบดิสนีย์ แล้วมาหลอกให้เราเชื่อว่านั่นล่ะ คือความกล้า (แต่ดันซุกอยู่หลังคนอื่นตลอดเวลา)
งาน Visual Effect ระดับมหากาฬ
นี่อาจเป็นหนังอีกเรื่องที่เราเข้าไปดูแล้วรู้สึกเหมือนตอนเห็น Rivendell ใน The Lords of the Rings เพราะดีไซน์งาน Visual ของมันสวยมากกกก ประหนึ่งเราทะลุหนังสือนิทานภาพสวยๆ เข้าไปอีกมิติหนึ่ง คือสมกับงบ (ที่คงปานปลาย) มโหฬาร
Costume อลังการงานชุดเบลล์
สิ่งหนึ่งที่อดพูดถึงไม่ได้กับเรื่องนี้ เราถือว่าคอสตูมดูเป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้มาก คืองานชุดของเบลล์และเจ้าชายนี่กล้าพูดเลยว่าเลอค่ามาก คือทั้งรายละเอียดเทคนิคการตัดเย็บ การปักตั้งแต่ดิ้นยันเลื่อมคือแพรวพราวกระแทกตา ซูมระยะโคลสอัพคือดีงามค่ะ มันสวยมากจริงๆ ด้านล่างคือภาพตัวอย่างที่ขอเก็บมาฝากจาก บล็อกชาวบ้าน
เห็นล่ะอยากแซวนางว่าเปลี่ยนชุดตามสีวันหราาาาาาา?!
แน่ล่ะ พูดถึงข้อดีไปอย่างท่วมท้นจนดูลำเอียงแล้ว ต้องขอพูดข้อเสียหน่อยเค้าจะได้ไม่ว่า ข้อเสียหนังเรื่องนี้คือ…”ความยาว”
เป็นความยาวที่เยิ่นเย้อ เกริ่นอยู่นั่น เกริ่นจนดูแบบ “เฮ้! เข้าเรื่องสักที มันไม่เกี่ยวกับพล็อตสักหน่อย” “เอ๊ะ! ฉากนี้ไม่มีคงไม่น่ามีปัญหา จะใส่มาเพื่อ?” ส่งผลให้หนังยาวถึง 2 ชม. แบบดูกันตาแฉะ
นอกจากเรื่องความเวิ่นแล้ว มุมกล้องค่ะ พี่แกเหวี่ยงมาก นึกว่าเป็นญาติกับ Birdman เข้าใจว่าคงพยายามจะโชว์มุมกว้างๆ จะได้เห็นซีจีอลังการงานสร้าง แต่คนดูปวดขมับค่ะ เล่นเอาแทบอ้วกสำหรับเคสคนมีปัญหาทางสายตาอย่างเรา เพียงแต่ความงามและอลังการมันตรึงเราอยู่ เราจึงฝืนทนดูมันต่อไป ก่อนจะมายืนวูบหน้าโรงหนังแทน #บาย
สุดท้ายนี้ ขอกล่าวว่าในราคาแค่ 100+ นิดๆ ของโรงหนัง Lido ถือว่าคุ้มค่าที่จะเข้าไปชมอยู่ สำหรับคนที่ชอบหนังเทพนิยาย ภาพสวยๆ งานแฟนตาซีแบบจัดเต็มอลังการ เพราะได้เห็นกันแบบจุใจแน่ๆ ไม่เชื่อก็ลองดูนะ
ป.ล.จริงๆอยากเขียนวิเคราะห์พล็อตแบบยาวๆ แต่งวดนี้บล็อกก็ยาวมากแล้ว ไว้ต่อคราวหน้าแล้วกัน
🌙 Instagram : @Deadlydoll
🌙 Youtube : Deadlydoll Vanessa
🌙Email : deadlydollvanessa[at]gmail.com
รู้สึกผิดหวังมากเมื่อเทียบกับฉบับการ์ตูน
LikeLike
แบบการ์ตูนที่เรารู้จัก มันถูกสร้างด้วยสไตล์แบบดิสนีย์คือชวนฝันค่ะ ไม่แปลกที่ถ้ามาตามสไตล์ฝรั่งเศสที่ดูเรียลลิสติกมากกว่า อาจจะไม่ชิน 😀
LikeLike